คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน
- เรื่องที่ 1 "อิสรภาพที่แท้จริง"
- เรื่องที่ 2 "องศาที่เหมาะสมของใจกับความสุข"
- เรื่องที่ 3 "บนโลกที่แตกต่าง"
- เรื่องที่ 4 "ความลับไม่มีในโลก"
“...เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็ รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา...”
คำว่า “อิสรภาพ” (Autonomy) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายว่า หมายถึงความเป็นใหญ่, ความเป็นไทแก่ตัว, การปกครองตนเอง
อิสรภาพ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายล้วนปรารถนา ไม่มีใครอยากถูกลิดรอนอิสรภาพ ดังจะเห็นได้จากผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ยังต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อจะหาทางประกันตัว ไม่อยากถูกคุมขังแม้เพียงคืนเดียว จนทำให้ในปัจจุบันมีการประกันภัยชนิดหนึ่งเกิดขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกและให้ความสะดวกแก่ประชาชน ชื่อว่า “ประกันภัยอิสรภาพ” ซึ่งผู้เอาประกันสามารถใช้หนังสือรับรองจากบริษัทประกันมายื่นแก่เจ้าพนักงานเพื่อใช้ประกันตัวได้ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นใด
ที่จริงแล้วถึงแม้เราจะไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจหรือในเรือนจำก็ตาม อิสรภาพที่แท้จริงใดๆสำหรับเราก็ไม่เคยมีอยู่จริง เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถปกครองตนเองได้อย่างแท้จริง เรายังไม่สามารถเอาชนะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่ทำให้เรามีความทุกข์ได้ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่เคยละเว้นใคร จะใช้หลักทรัพย์ไปไถ่ถอนตัวออกมาจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ไม่ได้ ที่สำคัญมนุษย์โดยทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ศัตรูที่แท้จริงที่ส่งความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาให้ คือ ใคร อยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้กล่าวไว้ว่า ความเดือดร้อนใดๆในชีวิต ล้วนเกิดจาก “...มารส่งฤทธิ์ ส่งเดช ส่งอำนาจ ส่งวิชชาที่ศักดิ์สิทธิ์มาบังคับ บังคับบัญชาให้เป็นไป...”
“...พญามารมาบังคับใช้สอยเป็นบ่าวเป็นทาสเขา เขาจะใช้ทำอะไรทำได้ ให้ด่า ให้ตี ให้ชก ให้ฆ่า ให้ฟันแทงใครก็ได้ มารบังคับ มันบังคับได้อย่างนี้เชียวนะ ให้เป็นบ่าวเป็นทาสเขา ให้เลวทรามต่ำช้า ให้เป็นคนจน อนาถาติดขัดทุกสิ่งทุกอย่าง... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวไม่ยินดีสละในตัว เพราะตัวไม่เป็นใหญ่ในตัว เพราะไม่รู้จักที่สุดของตัว...”
“...เหมือนความแก่ดังนี้ เราไม่ปรารถนาเลย เขาก็ส่งความแก่มาให้ เราก็ต้องรบอ้ายความแก่นั้นแหละ ความเจ็บล่ะ เราไม่ปรารถนาความเจ็บ เขาก็ส่งความเจ็บมาให้ ความตายล่ะ เราไม่ปรารถนาเลย เขาก็ส่งความตายมาให้ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าตัวเองไม่เป็นใหญ่ด้วยตัวของตัวเอง คนอื่นเขามาปกครอง...”
แต่ถ้าใครได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็จะสามารถเห็นผู้ที่คอยบังคับบัญชาปกครองมนุษย์อยู่ ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า “...มารปล่อยสายมาปกครองมนุษย์ มนุษย์ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ (ผลที่ได้คือความเสียหาย) มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เช่น สงครามที่แล้วมา (หมายถึง สงครามโลกครั้งที่ 2) เกิดจากโลภะ คือ ความโลภ เป็นเหตุให้คนเจ็บ คนตาย
ลูกชายหญิงมีความหลง โมหะ ว่าตัวเก่งแล้ว พ่อแม่ว่าไม่ได้ มีโทสะ โมโห โต้เถียงไม่กลัวเกรง ที่เป็นเช่นนี้เพราะนายโลภะ โทสะ โมหะ เขาปกครอง เขาสั่งให้ทำเช่นนั้น เอาบ้านเมืองมาล่อ เอาความเจ็บความตายมาให้ ปราบมารเหล่านี้เสียได้ มนุษย์จะได้อยู่เป็นสุข มารเหมือนผีเที่ยวสิง บังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของเขา เราต้องเข้าวิชชาธรรมกายจึงรู้เห็นหมด...”
สำหรับผู้ที่ปรารถนาอิสรภาพ พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ชี้ทางเอาไว้ดังนี้ “...ให้เอาใจจรดจี้ตัวของตัว กลับให้เข้าถึงกายทิพย์ให้ได้ว่ากายที่สุดของตนอยู่ที่ไหน เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็ รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา ถ้ายังไม่ถึงที่สุดของตัวแล้ว หวานเลย เขาจะต้องบังคับบัญชาแกท่าเดียวเท่านั้นแหละ แกจะต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา...”
“...เมื่อปรากฏรู้ตัวว่าเป็นทาสพญามารอยู่เช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัว ถ้ารีบพยายามแก้ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย...”
อันที่จริงแล้ว กรงที่คุมขังมนุษย์และสรรพสัตว์แต่ละชีวิตนั้น มีหลายกรง หลายขนาด หลายรูปแบบ หลายมิติ และมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แต่ขึ้นชื่อว่า กรง ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ล้วนทำให้เราขาดความเป็นตัวของตัวเอง ล้วนแต่ยึดเอาอิสรภาพของเราไป หยิบยื่นความทุกข์และความอึดอัดขัดใจมาให้เราทั้งสิ้น ถ้าหากเรามีความตั้งใจจริงที่จะปลดปล่อยตนเองไปสู่หนทางแห่งอิสรภาพ เราก็ทำได้ด้วยการทำสมาธิภาวนา ดำเนินจิตเข้าสู่หนทางภายใน ตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ สักวันหนึ่งเราก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการของพญามาร ซึ่งใช้โลภะ โทสะ โมหะ มาคุมขังเรา บังคับเราให้ทำตามอำนาจของกิเลส ทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานมาเนิ่นนาน และเป็นวัฏจักรที่มิรู้จบสิ้น และวันนั้น...จะเป็นวันที่เราได้ประกันภัยอิสรภาพที่แท้จริงให้กับตนเองตลอดไป
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)
“...หยุดได้เวลาใดก็เป็นมงคลเวลานั้น ถ้าหยุดไม่ได้เวลาใดก็เป็นอัปมงคลเวลานั้น...”
มีคำเตือนจากนักวิชาการสาธารณสุขว่า การใช้คอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างหนักได้ เช่น มีอาการปวดข้อนิ้ว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแขน หัวไหล่ หรือคอ ถ้าปล่อยไว้นานอาจถึงขั้นเส้นอักเสบ รวมทั้งอาจมีปัญหาเรื่องสายตาอย่างหนัก จึงแนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สนใจเรื่องเหล่านี้เอาไว้บ้าง
- องศาที่เหมาะสมของการนั่ง แนะนำให้นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงอยู่ในระดับ 90 – 120 องศา ความสูงของเก้าอี้อยู่ในระดับที่เท้าวางบนพื้นได้สบายพอดี
- องศาที่เหมาะสมของช่วงแขน คีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าข้อศอกเล็กน้อย ประมาณ 90 – 120 องศา
- องศาที่เหมาะสมของการมอง จอภาพควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย ประมาณ 20 องศา ระยะในการมองควรอยู่ระหว่าง 50 – 70 เซนติเมตร และควรพักสายตาเป็นระยะๆ
การดูแลเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้ไม่เกิดผลกระทบจาการใช้คอมพิวเตอร์
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราทั้งหลายก็ควรจะมีความรู้และศิลปะในการใช้ชีวิตเช่นกัน เพื่อหลบหลีกให้พ้นจากความทุกข์ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ให้หลักการเอาไว้ว่า ถ้าต้องการจะดับทุกข์ให้ได้ผลดีจริง เราจะต้องทำใจให้หยุดให้ถูกส่วนจนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย ถ้าใครหยุดใจจนเข้าถึงพระธรรมกายได้แล้ว จะมีความสุขอย่างยิ่งทีเดียว ดังนี้
“...ถามดูเถอะพวกมีธรรมกายนั่น เป็นอย่างไรบ้าง ทุกข์สงบไหม ภัยสงบไหม โรคสงบไหม สบายใจ เย็นใจ อิ่มใจ ปลาบปลื้ม ใจตื้นใจเต็มทีเดียว แช่มชื่นตื่นเต้น ผ่องใสทีเดียว...”
“...พอใจหยุดเสียได้เท่านั้นแหละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ติเตียน ทุกข์ ไม่กระทบกระเทือนแล้ว...”
แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่สามารถทำใจให้หยุดนิ่งในเบื้องต้นที่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ก็มีความสุขได้ระดับหนึ่งแล้ว ดังนี้
“...เมื่ออยู่กลางดวงนั้นแล้ว ความกำหนัดยินดีไม่มี สงบระงับเป็นสุขทีเดียว ถ้าว่าต้องการสุขละก็ไปอยู่นั่น ถ้าว่าต้องการทุกข์ละก็ออกมาเสียก็ได้รับทุกข์...”
“...ใจหยุดเสียแล้ว วิรชํ1 ปราศจากความขุ่นมัว วิรชํ ปราศจากธุลี เศร้าหมองก็ไม่มีแก่ใจ เพราะใจหยุดเสียแล้ว ไม่เศร้าหมองไม่ขุ่นมัวแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว...”
ท่านยังกล่าวอีกด้วยว่า ถ้าใครทำใจให้หยุดได้แล้ว บุคคลนั้นก็ถึงซึ่งมงคล ถ้าทำใจหยุดไม่ได้ก็เป็นอัปมงคล
“...หยุดได้เวลาใดก็เป็นมงคลเวลานั้น ถ้าหยุดไม่ได้เวลาใดก็เป็นอัปมงคลเวลานั้น...”
มงคล หมายถึง เหตุแห่งความเจริญ พอใจหยุดแล้วจะไม่มีความเศร้าโศก ไม่ขุ่นมัว มีแต่ความผ่องใส เบิกบาน มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สิริมงคลทั้งหลายก็จะไหลมาเทมา และจิตที่หยุดนิ่งได้นี้จะนำไปสู่ความเจริญอันสูงสุด คือ มรรคผลนิพพาน ดังคำของพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ว่า “...พอใจหยุดเท่านั้น เข้าถึงทางไปของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ใจหยุดนั่นแหละจะพบพระบรมศาสดา...”
ถ้ามนุษย์เราปรับองศาของใจเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดี เรื่องราวความวุ่นวายต่างๆก็จะแทรกซึมเข้ามาทำลายความสุขของเราได้ยาก เราจึงต้องวางใจของเราให้อยู่ในองศาที่เหมาะสม คือ ที่ 072 องศา โดยค่อยๆปรับใจอย่างเบาๆสบายๆ เมื่อปรับให้หยุดนิ่งสนิทอยู่ที่ 072 หรือศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดเหนือสะดือสองนิ้วมือ เราก็จะสามารถเข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ได้ในที่สุด และขณะนั้นทุกข์ โศก โรค ภัย ก็จะไม่สามารถมาทำร้ายใจของเราได้ องศาที่ 072 จึงเป็นองศาแห่งความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)
หมายเหตุ
1 วิรชํ (อ่านว่า วิ-ระ-ชัง) หมายถึง จิตไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งกระทบ จิตหมดความหวั่นไหวต่ออายตนะสัมผัส
“...ถ้าดวงบุญใหญ่โตกว่า ก็นำไปสู่สวรรค์ ถ้าดวงบาปใหญ่โตกว่า ก็นำไปสู่นรก ใครจะแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น...”
บางมุมของโลก: มหาเศรษฐีซื้อทริปล่องเรือสำราญรอบโลก 5 เดือน ราคาเริ่มต้นที่ 108,265 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน เปิดจองโรงแรมแห่งแรกในอวกาศ 3 วัน ราคาคนละ 3,750,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อีกมุมหนึ่งของโลก: นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคแมลง เช่น จิ้งหรีด หนอนผีเสื้อ ด้วง ตั๊กแตน ฯลฯ ในฐานะที่เป็นแหล่งอหารโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ และเพื่อแก้ปัญหาความอดอยาก
อีกสักมุมหนึ่ง: อาจารย์โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง มุ่งมั่นสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนนำสิ่งของเหลือใช้มาสร้างสรรค์ให้เป็นของใช้ที่มีมูลค่า นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
คนรวย คนจน หรือชนชั้นกลาง ต่างก็เป็นสมาชิกของโลกสีน้ำเงินใบนี้ แต่มีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันจนบางครั้งยากที่จะจินตนาการโลกที่แท้จริงของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ความต่างเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิด แต่มันเป็นมาก่อนกำเนิด โดยบุญ – บาป ที่เราทำ เป็นชนกกรรมนำมาเกิด ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“...เมื่อกายมนุษย์แตกดับไปแล้ว กายมนุษย์ละเอียดยังเหลืออยู่อย่างเรานอนฟันไป ตายก็เหมือนกับนอนหลับฝันไป กายมนุษย์ละเอียดออกจากกายมนุษย์ไป ...ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนั้น มีดวงบุญอีกดวงหนึ่ง ดวงบุญนั้นแหละจะนำไปเกิด...”
“...สภาพที่เป็นบุญ เป็นดวงใส ติดอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ สภาพที่เป็นบาป เป็นดวงดำ ติดอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์แบบเดียวกัน ...ถ้าดวงบุญใหญ่โตกว่าก็นำไปสู่สวรรค์ ถ้าดวงบาปใหญ่โตกว่าก็นำไปสู่นรก ใครจะแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น ย่อมเป็นไปตามคติของตน...”
สำหรับผู้ที่มาเกิดเป็นมนุษย์จะต้องบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ และถ้าอยากเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า จะต้องให้ความสำคัญกับการให้ทาน
“...การให้นี้ให้สำเร็จประโยชน์ถึงเจ้าจักรพรรดิราช... เป็นเศรษฐีมหาราชก็สำเร็จด้วยทาน การให้ เป็นคหบดีมหาศาลมีทรัพย์สมบัติบริวาร ข้าทาสบริวาร ก็สำเร็จด้วยการให้ ถ้าไม่ให้ ไม่สำเร็จอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การให้ ถ้าอยากมีสมบัติยิ่งใหญ่มหาศาลละก็ ต้องอุตส่าห์บำเพ็ญทาน...”
นอกจากพระเดชพระคุณหลวงปู่จะแนะนำวิธีรวยให้แล้ว ท่านยังเมตตาอยากให้เราได้เกิดในตระกูลที่ดีอีกด้วย เพราะว่ามนุษย์เรายังมีปัญหาเรื่องการดูหมิ่นชาติตระกูล หรือการแบ่งแยกชนชั้นอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานแสนนานแล้ว สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งที่พรหมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ แล้วกิน ง้วนดิน1 เป็นอาหาร ครั้นเวลาผ่านไป ผิวพรรณมนุษย์เกิดความแตกต่างกันขึ้น พวกที่มีผิวพรรณงามก็ดูถูกพวกที่ผิดพรรณไม่งาม การแบ่งชั้นวรรณะก็เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้น แม้ในปัจจุบันก็ยังดำรงอยู่ ในบางสังคมมองเห็นได้ชัดเจน แต่บางสังคมอาจมองเห็นไม่ชัด อย่างไรก็ตาม ถ้าสมมติว่าชาติใดชาติหนึ่ง เราต้องไปเกิดในยุคที่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างเข้มข้นเหมือนอย่างอินเดียในอดีต และพลาดพลั้งไปเกิดในวรรณะต่ำ ต้องเผชิญกับการถูกเหยียดหยามทุกลมหายใจ เราคงทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่เกิดมาในสภาพนั้น
แล้วถ้าอยากเกิดในตระกูลสูง ต้องทำอย่างไร ?
ถ้าใครอยากเกิดในตระกูลสูงที่คนยกย่อง พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า “...เราอยากเป็นมนุษย์ชั้นไหน เราต้องแก้ไขตัวของตัวเอง...”
“...เมื่อเวลาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แต่อย่างใดอย่างหนึ่งต้องใช้มารยาทให้เรียบร้อย เวลาจะให้ทานต้องใช้มารยาทที่นุ่มนวลเป็นที่น่าดูน่าชม ใครเห็นก็นิยม ...เมื่อมีมารยาทเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเหตุให้เกิดในสกุลสูง...”
“...ส่วนวาจาเล่า จะพูดจาปราศรัยกับบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด ผู้เฒ่าผู้แก่ สมณพราหมณาจารย์ ก็พูดแต่ถ้อยคำนุ่มนวลชวนสดับ ถ้อยคำที่เป็นกักขฬะ ชั่วช้าหยาบคาย อย่าเอาไปใช้ ถ้าใช้เข้าแล้วมันเป็นนิสัยติดไป จะไปเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้นบ้าง...”
“...ส่วนใจเล่า ใจก็ต้องให้นุ่มนวล ให้อ่อนโยน ต้องใช้ใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ใจเป็นอกุศลไม่เอาเข้ามาใช้ ใจที่เห็นผิด เข้าใจผิดอย่าเอามาใช้ ใจที่เห็นชอบเห็นถูก ก็เอาเข้ามาใช้อย่างชนิดนั้น เกิดไปในภายหน้าเป็นมนุษย์ชั้นสูง...”
ในปัจจุบันชาตินี้ ถ้าเรามีฐานะไม่ดี และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี วิธีแก้ก็คือ สั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา และรักษากาย วาจา ใจ ให้นุ่มนวล อ่อนโยน เพื่อสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น ถ้าเรามีฐานะดี อยู่ในตระกูลสูง และมีสิ่งดีๆเพียบพร้อม เราก็ยังต้องหมั่นสั่งสมบุญเช่นกัน เพื่อรักษาสิ่งที่เรามีเอาไว้ และเพิ่มพูนให้มากยิ่งๆขึ้นไป
ถ้าเราทั้งหลายหมั่นทำบุญทำกุศลอย่างสม่ำเสมอ และรักษากาย วาจา ใจ ให้นุ่มนวล อ่อนโยน ตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่แล้ว เราต่างก็จะพากันมั่งคั่งร่ำรวย เฉลียวฉลาด ได้บังเกิดในตระกุลที่ดี และเปี่ยมไปด้วยความสุข เมื่อนั้นโลกในมุมของเราก็จะน่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง และปัญหาเรื่องความแตกต่างของชนชั้นก็จะลดน้อยลงไปอีกด้วย
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)
หมายเหตุ
1 ง้วนดิน คือ สิ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ คล้ายๆเวลาเคี่ยวนมสดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะเกิดเป็นไขนมจับตัวกันอยู่ข้างบน ง้วนดินมีสีคล้ายเนยใส รสชาติอร่อย
“...ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกนั้น ถูกต้องทีเดียว คือ ความลับมีแต่เฉพาะในกายมนุษย์เท่านั้น กายมนุษย์ละเอียดไม่มีความลับ...”
มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า “ความลับ” สิ่งใดที่เป็นความลับ เรามักไม่อยากให้ใครรู้ เพราะถ้ามีใครรู้ ความลับก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป และบางเรื่องอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่เราได้ แต่คนเรามีความอยากรู้อยากเห็นด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งลับยิ่งอยากรู้ เรื่องอะไรที่ห้ามพูดถึง เรื่องนั้นจะไปเร็วและไปแรง การอยากรู้ความลับเป็นเหตุให้มนุษย์พยายามหาวิธีไขความลับ เริ่มจากวิธีการขั้นพื้นฐาน เช่น เจาะรูตามข้างฝาเพื่อแอบดู ต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องดักฟัง โทรทัศน์วงจรปิด มีอาชีพสายลับเกิดขึ้น รวมทั้งมีคอลัมน์ซุบซิบตามหนังสือพิมพ์และนิตยสาร เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของคน ฯลฯ
เรื่องราวต่างๆที่เป็นความลับ หรือเป็นส่วนตัวนั้น ปิดบังได้กับบางคนและบางเวลาเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ว “ความลับ ไม่มีในโลก” และไม่มีอะไรที่เป็นความลับสำหรับผู้ที่ศึกษาวิชชาธรรมกาย ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้กล่าวไว้ว่า “...ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกนั้นถูกต้องทีเดียว คือ ความลับมีแต่เฉพาะในกายมนุษย์เท่านั้น กายมนุษย์ละเอียดไม่มีความลับ กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด อีกมากมายนัก จะโกหกอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ทั้งนั้น...”
เหตุที่กายมนุษย์ละเอียดไม่โกหกนั้น เพราะกายมนุษย์ละเอียดเป็นกายที่บริสุทธิ์กว่า มีความโลภ โกรธ หลง เบาบางกว่า และมีศีลบริสุทธิ์กว่ากายมนุษย์หยาบ จึงมีวาจาตรงกับใจ นอกจากนี้ ท่านยังเคยเล่าไว้ด้วยว่า กายละเอียดของมนุษย์หรือกายที่ฝันไปโน่นไปนี่ยามเรานอนหลับนั้น ยังรู้เรื่องต่างๆมากมาย รู้แม้กระทั่งเรื่องลี้ลับ และรู้ว่าใครเป็นคนอย่างไร
“...เรารู้ทีเดียวว่า คนนี้จะซื่อตรงหรือไม่ซื่อตรง ให้ไปดูที่กายละเอียด ไปถามกายละเอียด กายละเอียดจะไปสืบดู เดี๋ยวก็รู้ได้ทันทีว่า คนนั้นซื่อตรงหรือไม่...”
เรื่องความซื่อหรือไม่ซื่อนี้ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปยากที่จะรู้ได้ ที่ผ่านมาจึงมีการประดิษฐ์เครื่องจับเท็จรูปแบบต่างๆ เพื่อตรวจเช็คความซื่อตรงของผู้ต้องหา แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไรนัก เพราะคนร้ายเรียนรู้ที่จะโกหกได้แม้กระทั่งเครื่องจับเท็จ ที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีการวิจัยคลื่นสมองเพื่อหาทางทราบความคิดของมนุษย์ ซึ่งต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมากมหาศาล และใช้เวลาหลายปี ถ้าทำสำเร็จจะนำไปใช้สอบสวนข้าศึกหรืออาชญากร และใช้สื่อสารกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย
สำหรับวิชชาธรรมกาย ไม่ต้องลงทุนทั้งเงินและเวลามากมายขนาดนั้น และไม่ต้องทำการวิจัยแต่อย่างใด ก็สามารถรู้เรื่องราวต่างๆได้ ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า “...ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราก็จะฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะมนุษย์รู้เรื่องหยาบๆ เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจึงรู้เรื่องได้ละเอียดกว่า เรื่องลี้ลับอะไรเรารู้หมด เราไปตรวจดูได้หมดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน... ฝันไปเรื่อยตรวจดูทุกๆคน ถ้าฝันตื่นๆได้อย่างนี้สนุกแน่...”
ถ้าใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด คนนั้นจะฉลาดกว่ามนุษย์ทั่วไป ยิ่งเข้าถึงกายต่างๆต่อไปอีก ก็จะยิ่งฉลาดเพิ่มขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเข้าถึงจุดที่ล่วงรู้ความลับได้ การตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือความเสียหายที่เกิดจากการถูกหลอกลวงก็จะลดน้อยลง เพราะจะไม่มีใครมาหลอกลวงเราได้
ถ้าโลกนี้ มีคนที่สามารถล่วงรู้เรื่องลี้ลับต่างๆได้อยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะช่วยลดบาปให้คนอื่นได้ด้วย เพราะมนุษย์จะโกหกกันน้อยลง ทำความชั่วน้อยลง เพราะบางครั้งที่คนเรากล้าทำความชั่ว ก็เพราะคิดว่าไม่มีใครรู้ ถ้ามีคนรู้ก็จะไม่กล้าทำ สังคมมนุษย์ก็จะสงบสุขขึ้นโดยปริยาย
ในชีวิตของแต่ละคน อาจเคยทำบางสิ่งที่อยากเก็บไว้เป็นความลับ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ความลับไม่มีในโลก การเพียรพยายามทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ให้ยิ่งๆขึ้นไป ด้วยการหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดเหนือสะดือสองนิ้วมือ ตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ จึงเป็นสิ่งที่ควรถือเป็นกรณียกิจ เพราะนอกจากจะได้บุญมากมายมหาศาลเป็นสิ่งตอบแทนแล้ว สักวันหนึ่ง เราจะก้าวไปถึงจุดที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า “ความลับไม่มีในโลก” เป็นเรื่องจริง
จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)
บทความที่เกี่ยวข้อง: